การแพ้อาหารและอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
อาการแพ้อาหารของลูกน้อย หากลูกแพ้อาหารจะแสดงอาการต่อไปนี้ภายในเวลาไม่กี่นาทีหรือเพียงไม่กี่วินาที
- ไอ
- คอแห้ง คันคอและลิ้น
- คันตามผิวหนังและร่างกาย
- คลื่นไส้และท้องอืด
- ท้องเสียและ/หรืออาเจียน
- หายใจหอบถี่
- ริมฝีปากและคอบวม
- น้ำมูกไหลหรือคัดจมูก
- ปวดตา ตาแดงและคัน
อาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
อาหารบางชนิดจะทำให้ลูกน้อยมีอาการแพ้ได้มากกว่าอาหารชนิดอื่น และเป็นสิ่งที่คุณแม่ต้องระมัดระวัง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
มีอาหารบางชนิดที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกกินในช่วงอายุต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพ้อาหาร ในระหว่างที่ระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อยกำลังพัฒนา นั่นก็คือ
- กลูเต็น (ก่อน 6 เดือน)
กลูเต็นเป็นโปรตีนที่พบในธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ และข้าวโอ๊ต คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการให้อาหารจำพวกนี้ในช่วง 6 เดือนแรก โดยให้ดูส่วนผสมที่ฉลาก
- ปลา (ก่อน 6 เดือน)
ปลาอาจเป็นสาเหตุของอาการแพ้ในทารกบางคนได้ ดังนั้น คุณแม่ควรพยายามหลีกเลี่ยงการให้ลูกกินปลาในช่วง 6 เดือนแรก แต่หลังจากอายุ 6 เดือน ก็สามารถให้ลูกกินปลาตามปกติ และเป็นส่วนหนึ่งของการให้ลูกทานอาหารครบ5 หมู่ได้
- ถั่วลิสง
และอาหารที่ทำจากถั่วลิสง หากมีประวัติการแพ้ถั่วในครอบครัวมาก่อน คุณแม่ไม่ควรให้ลูกกินถั่วลิสงหรืออาหารที่ทำจากถั่วลิสงจนกว่าลูกจะมีอายุครบ 3 ขวบ แต่หากคุณแม่และครอบครัวไม่มีประวัติการแพ้ ก็สามารถให้ลูกกินได้หลังอายุ 6 เดือน แต่ต้องไม่ให้ลูกกินถั่วทั้งเมล็ด ไม่ว่าชนิดใดก็ตามก่อนอายุ 5 ขวบ เพราะอาจมีความเสี่ยงทำให้สำลักได้
คุณแม่ต้องทำอย่างไรบ้างหากลูกน้อยมีอาการแพ้อาหาร
ถ้าคุณแม่คิดว่าลูกน้อยมีอาการแพ้อาหาร ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยปัญหาและให้คำแนะนำที่ถูกต้องว่าควรจะจัดการดูแลอย่างไร โดยในเบื้องต้นคุณแม่สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกได้ด้วยตัวเอง เนื่องจาก กฎหมายการแสดงข้อมูลบนฉลาก ทำให้คุณแม่สามารถตัดสินใจเลือกอาหารให้ลูกน้อยกินได้ง่ายขึ้น แม้ว่าการรับมือกับปัญหาการแพ้อาหารหรืออาหารไม่ย่อยของลูก อาจจะทำให้คุณแม่ท้อแท้ในช่วงแรก แต่คุณแม่ส่วนใหญ่ก็สามารถปรับตัวจนเคยชินได้
บทความนี้มีประโยชน์กับคุณหรือไม่?